บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การรักษาโรคด้วยพืชสมุนไพร


ขมิ้นชัน


ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้
        ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ทั้ง 3 ตัว วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ซึ่งจะมีผลทำให้ 
                           - ช่วยลดไขมันในตับ 
                           - สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร 
                           - ช่วยย่อยอาหาร 
                           - ทำความสะอาดให้ลำไส้ 
                           - เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ 
                           - ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ 
                           - สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง 
                           - กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง 
                           - ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา
           กินตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินในจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร
          ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ไม่ต้องถึงกับเฮฮาปาร์ตี้ แค่ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้

( เวลา 03.00 - 05.00 น. ) ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเรงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

( เวลา 05.00 - 07.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้ชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือนำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆอยู่เป็นล้านๆเส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

( เวลา07.00 - 09.000 น. ) ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม

( เวลา 09.00 - 11.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

( เวลา 11.00 -13.00 น. ) ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป

( เวลา 13.00 - 15.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป

( เวลา 15.00 - 17.00 น. ) ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

     กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก 


มะแว้งเครือ






ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 
            เป็นไม้เถาสีเขียวขนาดเล็ก แกมไม้พุ่ม มีหนามโค้งงอ แหลมคม ไม่มีขน ใบเดี่ยว แผ่นใบเขียวเป็นมัน เรียงสลับ มักเป็น กระจุกตามปลายกิ่ง ใบป้อมรูปไข่ กว้าง 1.5-5 ซม. ยาว 1.5-6 ซม.  สีเขียวอ่อนทั้งสองด้าน ขอบใบหยัก ปลายมน โคนตัดหรือสอบแคบ เรียงสลับกัน ก้านใบแกนกลางใบมีหนาม ดอกเป็นช่อสั้นๆ  ออกตามง่ามใบใกล้ยอด 2-8 ดอก ก้านช่อดอกมีหนาม ดอกย่อยสีม่วงชมพู  กลีบดอกชั้นนอกเหมือนจานปลายแบ่งเป็นแฉก 5 แฉก เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. แฉกจะคงอยู่จนเป็นผล
กลีบดอกสีม่วงชมพู ฐานติดกัน เกสรตัวผู้สีเหลือง 5 อัน เห็นรวมกันตั้งเป็นแท่ง ผลอวมน้ำกลมขนาดเล็กกว่ามะเขือพวง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. ผิวเรียบเกลี้ยง ผลดิบมีลายสีขาวเทา มีกระสีเขียว เมื่อสุกเปลือกเปลี่ยนเป็นสีแดงสด นิ่ม ภายในมีเมล็ดแบนๆ สีน้ำตาลมาก ผลมีรสขม ส่วนที่ใช้เป็นยา ผลแก่สด 

สรรพคุณ
         1. แก้ไอ ลุกมะแว้งเครือสดๆ ๕-๖ ลูก นำมาเคี้ยวกลืนเฉพาะน้ำ จน หมดรสขม แล้วคายกากทิ้งเสีย บำบัดอาการไอ ได้ผลดี 
         2. แก้เบาหวาน เอาลูกมะแว้งเครือ ๑ กำมือ ทอดกับไข่ไก่ ๑-๒ ฟอง รับประทานทุกวัน ติดต่อกันประมาณ ๓๐ วัน โรคเบาหวานจะ หาย ไป
         3. แก้เบาหวาน เอาต้นมะแว้งเครือทั้ง ๕ และต้นเหงือกปลาหมอ ทั้ง ๕ อย่างละ ๓ กำมือ ต้มกินแก้เบาหวาน กินครั้งละ ๑ ถ้วยแกง เช้า-เย็น
        4. แก้ไอเจ็บอก เอาเถามะแว้งเครือ พร้อมลูกมะแว้งแก่ บอระเพ็ด ยาว ๒ คืบ หัวแห้วหมูสดๆ กระเทียมสด ปอกเอาเปลือกออก ๓ กำมือ เกลือสมุทร ๑ กำมือ 
เอายาทั้งหมดต้มเคี่ยวให้ได้น้ำยาแก่มากๆ
        5. แก้ขัดเบา เอาต้นมะแว้งเครือ ทั้ง ๕ ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ พอควร ต้มเคี่ยวให้เดือด ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้ขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลอย่างชะงัดนักแล


ข้อมูลทางเภสัชวิทยาอื่นๆ
       1. ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อให้กระต่ายกินสารสกัดจากมะแว้งเครือด้วยน้ำและแอลกอฮอล์  มีผลลดระดับน้ำตาลได้น้อยและฤทธิ์อยู่ไม่ นาน ไม่แน่นอน
และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำและแอลกอฮอล์จากผลมะแว้งเครือมี ผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายได้ ภายใน 2 ชม.และ 1 ชม. หลังจากให้กินเข้าไปตามลำดับ แต่ไม่ได้ระบุขนาดที่ใช้ และได้มี การทดลองแยกส่วนของสารสกัด ผลมะแว้งเครือ ตามกลุ่มของสารเคมี เมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่าเมื่อฉีดสารสกัด ซึ่งมีสารประกอบ ประเภทไกลโคไซด์ 10% เข้าใต้ผิวหนังในขนาด 10 ml
สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายได้ 
       2. ฤทธิ์เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด จากการทดลองของประเทือง เมื่อฉีดสารสกัดซึ่งมีสารประกอบ ประเภทแอลคาลอยด์ 0.1% จากมะแว้งเครือ เข้าใต้ผิวหนัง ของกระต่ายขนาด 10 ml พบว่าสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้
       3. ฤทธิ์รักษาหอบหืด จากการทดลองของ Govindan และคณะ พบว่ามะแว้งเครือ ทั้งต้นป่นเป็นผงสามารถช่วยรักษา mild to moderate bronchial asthma ได้ 
สารที่พบ ใบ พบ tomatid-5-en-3-?-ol ดอก พบ alkaloid, cellulose, pectins, unidentified organic acid,
lignin, unidentified saponin  ผล พบ enzyme oxidase 

ข้อมูลทางพิษวิทยา 
       Sobatum เป็นสารที่ได้มาจากมะแว้งเครือ จากการศึกษาความเป็นพิษ ของ Sobatum ทั้งในระยะเฉียบพลันและ กึ่งเฉียบพลันในหนู  พบว่า Sobatum ไม่ได้มีผลให้เกิดอาการเป็นพิษหรือตายหลัง จากฉีดเข้าไปในหนูหรือจนกระทั่งจบระยะ เวลาการศึกษา และไม่มีผลเปลี่ยนแปลง blood parameters ต่างๆ ของหนู 



กระชาย




สรรพคุณของกระชาย

      กระชายมีรสเผ็ดร้อน ในรากและเหง้าของกระชายมีสารที่สามารถมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ภายในลำไส้ ช่วยขับลม ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ กระชายช่วยให้ เจริญอาหาร และยังช่วยแก้โรคในช่องปาก ได้เป็นอย่างดี

 - ช่วยในการแก้บิด อาการท้องร่วง ท้องเสีย โดยการนำรากกระชาย ไปย่างไฟ แล้วนำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำปูนใส นำมาคั้นเอาแต่น้ำดื่ม เพื่อช่วยในการรักษาอาการดังกล่าว

- ช่วยในการ รักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยการนำกระชาย ไปต้มพร้อมกับมะขามเปียก แล้วเติมเกลือแกงเล็กน้อย จากนั้นนำมารับประทาน เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ให้ดีขึ้น

 -ช่วยบำรุงกำลัง เพราะว่ากระชาย เป็นยาอายุวัฒนะ โดยเรา นำเอากระชายมาตำรากกระชาย 1 กำมือ ให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำผึ้ง นำมารับประทานก่อนอาหารเย็น ช่วยในการบำรุง ร่างกาย บำรุงกำลังด้วย

-  สามารถ ช่วยบำรุงหัวใจ เพื่อช่วยกระตุ้นให้หัวใจ ให้มีการเต้นสม่ำเสมอ โดยการ นำเอากระชาย แห้งนำมาบดให้เป็นผง นำมาชงละลายกับน้ำร้อน แล้วดื่มเป็นประจำ

-      กระชาย ช่วยแก้กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า นำกระชายล้างผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่น แล้ว บดให้เป็นผงหยาบ เอาน้ำมันพืช มาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชาย ใช้น้ำมัน 3 เท่า ของปริมาณกระชาย หุง ไฟอ่อนๆ ไปสักพักราว 15 นาที จากนั้นแล้ว กรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ ในขวด นำมาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน รับรองว่าหายแน่นอน

-  ช่วยแก้คันศีรษะจากเชื้อรา ด้วยสูตรทำแชมพู สระผมสูตรน้ำมัน จากที่ไหนก็ได้ โดยสามารถใช้แทนน้ำมันมะพร้าว   หรือจะใช้น้ำมันกระชาย โกรกผม ให้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันพืชอีก 1 เท่าตัว โกรกด้วยน้ำมันกระชายสัก 5 นาที แล้วนวดให้เข้าหนังศีรษะ แล้วจึงสระผมล้างออก เพียงเท่านี้ หนังศีรษะของเรา ก็จะสะอาดมากขึ้น

-  การนำรากกระชาย ตะไคร้ หอมแดง ข่า ใบสะเดาแก่ นำมาตำผสมกัน ใช้ฉีด บริเวณที่มีแมลงรบกวน ได้อีกด้วย

- ช่วยในการ บำบัดโรคกระเพาะ โดยการกินรากสด เพียงวันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที สัก 3 วัน กินนาน 2 สัปดาห์ ถ้าหากว่า เผ็ดร้อนเกินไป หลังวันที่ 3 ให้กินขมิ้นสดปอกเปลือก ขนาดเท่ากับ 2 ข้อ นิ้วก้อยจนครบ 2 สัปดาห์ แทนได้เหมือนกัน

- ช่วยในการบรรเทาอาการแผลในปาก โดยการนำเอากระชาย นำมาปั่นรากกระชายทั้งเปลือก 2 แง่ง กับน้ำสะอาด 1 แก้ว เติมเกลือ ลงไปเล็กน้อย กรองด้วยผ้าขาวบาง นำมากลั้วปากเพื่อ ช่วยในการรักษาอาการ แผลในปาก

- แก้ฝ้าขาวในปาก บดรากกระชาย โดยไม่ต้องปอกเปลือก ในโถปั่นพอหยาบ ใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น กินก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนกาแฟเล็ก วันล่ะ 3 มื้อ

- ผงกระชายทั้งเปลือก บดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ 3 ลูกก่อนเข้านอน  ช่วยในการ บำรุงร่างกาย ได้อีกด้วย






ที่มา : http://www.biletban.com/2012/04/03/

          http://thaitechno.net/t1/knowledge_detail.php?id=946&uid=39562

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น