บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555


ส้มแขกสมุนไพรลดความอ้วน



แหล่งกำเนิด

           ส้มแขก เป็นพืชในสกุล Garcinia สำหรับส้มแขกที่มีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จำหน่ายตามท้องตลาดในขณะนี้ มีแหล่งอยู่ 2 แห่ง คือ
1. อินเดีย ส้มแขกที่พบในอินเดียมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า“ Garcinia cambogia Desr. “ ที่ประเทศอินเดียใช้ผลส้มแขกเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหาร
2. ไทย ส้มแขกที่พบในเมืองไทย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า“Garcinia atroviritis Griff “ ซึ่งพบได้ทางภาคใต้ของไทย ใช้ใส่แกงส้มแทนส้มมะนาวหรือส้มอื่นๆ ต้มเนื้อ ต้มปลา ใส่ในน้ำแกง ขนมจีน เพื่อให้ออกรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อย ส้มแขกสามารถใช้แทนส้มทุกชนิดที่ต้องการให้อาหารมีรสเปรี้ยว


สมุนไพรจากส้มแขก

             มีสารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย คือ Garcinia หรือ HCA ช่วยควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการยับยั้งการสร้างและร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ยับยั้งการอยากอาหาร และช่วยลด Cholesterol ทำให้รูปร่างสมส่วน มีทรวดทรงสวยงาม

1.Vitamin C ช่วยควบคุมความดันโลหิต ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง

2.เปลี่ยนแป้งและน้ำตาลที่ทานเข้าไปเป็นพลังงานไกลโคเจนแทนการสะสมในรูปไขมัน

3.ร่างกายใช้พลังงานไกลโคเจนได้ในระดับที่ต้องการ ทำให้รู้สึกอิ่ม ผลโดยร่วมทำให้ไขมันลดลง กินอาหารน้อยลง

4.เหงื่อออกมาก เหนี่ยวตัวง่าย สาร HCA จะขับของเสียที่มันหมักหมกอยู่ในร่างกายออกมา

5.ไม่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง

6.ไม่เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่เรียกว่าYO–YO EFFECT คือเลิกทานยาลดน้ำหนักแล้วกลับมาอ้วนอีก
สรรพคุณของส้มแขก ในตำรายาแผนโบราณ ใช้เป็นยาระบายอย่างอ่อน ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยานั้นมีการวิจัยว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา และฤทธิ์ลดน้ำหนักร่างกายเป็นต้น ซึ่งในฤทธิ์ลดน้ำหนักนั้นมีงานวิจัยจากโรงพยาบาลรามาธิบดี 1 ฉบับ รายงานว่าสาร hydroxy citric acid (HCA) ที่อยู่ในผลส้มแขก และปรับให้อยู่ในรูปผลิตภัณฑ์ขนาดบรรจุซอง 1.65 กรัม โดยมี HCA อยู่ 70% หรือประมาณ 1.15 กรัม โดยศึกษาในสตรีที่มี BMI (ดัชนีมวลกาย) > 25 กก./ม2 จำนวน 42 คน โดยให้รับประทานครั้งละ 1 ซอง ผสมกับน้ำก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง นาน 2 เดือน พบว่าการสะสมของไขมันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายลดลง 4.9% น้ำหนักไขมันที่หายไป 16.2% น้ำหนักร่างกายลดลง 3.9% ดัชนีมวลกายลดลง 3.27% และเมื่อสิ้นสุดการทดลองผลของค่าชีวเคมีในเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าไม่ทำให้เกิดพิษ หากรับประทานในขนาดที่กำหนด ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการศึกษารายงานด้านความเป็นพิษของส้มแขก ซึ่งข้อมูลงานวิจัยของส้มแขกยังมีไม่มากหนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกถึงขนาด และวิธีการรับประทานที่ถูกต้องได้

การแปรรูปส้มแขก

สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
1. การแปรรูปส้มแขกแห้ง โดยนำผลส้มแขกมาหั่นด้วยมือ หรือด้วยเครื่องเป็นชิ้นบางๆ ให้มีขนาดสม่ำเสมอ หลังจากนั้นก็นำมาตากแดด ผึ่งลม ในสถานที่หรือภาชนะที่สะอาด ไม่ควรตากโดยตรงบนพื้นดินหรือพื้นซีเมนต์ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ หากอบ ควรอบในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 60 องศาเซลเซียส จากการศึกษาพบว่า ผลส้มแขก จำนวน 100 กิโลกรัม จะได้ส้มแขกแห้งประมาณ 8 – 12 กิโลกรัม
2.การแปรรูปน้ำส้มแขก
ปัจจุบันน้ำส้มแขก กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้ำส้มแขก มีรสเปรี้ยว และเมื่อรับประทานแล้วจะรู้สุกชุ่มคอ ช่วยลดการกระหายน้ำได้ดี ดังนั้น จึงมีผู้สนใจทำน้ำส้มแขก เอไว้บริโภคในครอบครัวและบางรายก็สามารถทำน้ำส้มแขกเพื่อจำหน่าย ซึ่งขั้นตอนการทำน้ำส้มแขกมีดังนี้
1. ล้างส้มแขกสดหรือส้มแขกแห้งให้สะอาด
2. ใส่น้ำต้มให้เดือด นานประมาณ 15 นาที
3. ใส่น้ำตาลทราย และเกลือ ตามความนิยมของแต่ละพื้นที่ ต้มอีก 5 นาที
4. ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นแล้วบรรจุใส่ขวดหรือแก้ว
ส้มแขก นอกจากจะแปรรูปเป็นส้มแขกแห้งและน้ำส้มแขกแล้ว ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการแปรรูปผลผลิตส้มแขกในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ เครื่องดื่มส้มแขกผงสำเร็จรูป เครื่องดื่มส้มแขกชนิดชง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดแคปซูล การทำส้มแขกดอง และยาระบาย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

ที่มา:http://samunprideedee.blogspot.com/2010/01/blog-post_19.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น